Uncategorized

//First, Second, Third Party Data คืออะไร?

First Party Data คือดาต้าที่บริษัทหรือแบรนด์เป็นเจ้าของเอง และแบรนด์เก็บมาจากลูกค้าโดยตรง ดาต้าCRM จากผู้ซื้อสินค้าดาต้าผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของแบรนด์ดาต้าจากผู้ subscribe emailดาต้าจากการทำแบบสำรวจ Second Party Data เป็นดาต้าที่เราไม่ได้เก็บมาเองโดยตรง อาจจะเป็นดาต้าที่ไปขอใช้งานจากบริษัทอื่น หรือดาต้าที่ไปซื้อต่อมาก็ได้ เช่น บริษัทประกันขายดาต้าให้บริษัทบัตรเครดิต เป็นต้น Third Party Data เป็นข้อมูลจากหลายแหล่ง เป็นการเก็บข้อมูลอย่างกว้างๆ เช่น Demographic, location, interest เป็นข้อมูลที่เปิดให้ใครเข้าไปใช้ได้เลย แต่ก็เป็นเพียงข้อมูลกว้างๆ และไม่ได้มีความแม่นยำมาก อย่างที่เราคุ้นเคยกันก็คือข้อมูลจาก social media ต่างๆ เช่น  Facebook เป็นต้น Source: hubspot.com Photo credit: Lotame

//การเตรียมตัวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของวงการดิจิตอล ‘ในยุค Cookieless’

เมื่อยุค third party data หรือยุคคุกกี้ กำลังจะจบลง ความสำคัญของ first party data เลยมีมากขึ้น ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคเช่นพวก Apple, Amazon, Facebook, Google ที่มี first party data อยู่ในมือเยอะอยู่แล้ว จึงไม่กระทบอะไรมาก แต่แบรนด์เล็กๆล่ะ? ทำไม third party data หรือคุกกี้ถึงหายไป? ตั้งแต่ปี 2017, เราจะได้ยินเรื่อง GDPR ที่ internet browsers ต่างๆออกมาประกาศเลิกใช้ first party data กัน; Safari เลิกใช้ในปี 2017, Firefox เลิกใช้ในปี 2019 และ Chrome ที่มีคนใช้มากกว่า60% ทั่วโลก เลิกใช้ในปี 2021 เมื่อ browser ต่างๆ ยกเลิกการเก็บคุกกี้ มันจะทำให้การเก็บ journey ของผู้ใช้งานยากขึ้น เลยเกิดผลกระทบในวงการโฆษณาดิจิตอลอย่างมาก เช่นการเก็บ impression ไม่สามารถทำได้ จากข้อมูล, ผู้ใช้งานต้องได้เห็นโฆษณาในช่องทางที่แตกต่างกันซ้ำๆ ถึงจะเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการ แต่พอไม่สามารถติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานจากคุกกี้ได้ จึงไม่สามารถนำดาต้ามาวิเคราะห์และยิงโฆษณาอย่างตรงกลุ่มทาเก็ตได้ การไม่มีคุกกี้ส่งผลกระทบในการทำ digital marketing 3 อย่าง 1. เสียเงินฟรี : เพราะเก็บคุกกี้ไม่ได้ว่าผู้ใช้งานซื้อสินค้านี้แล้วหรือยัง ทำให้เกิดการยิงโฆษณาซ้ำไปที่ผู้ใช้งานคนเดิมๆ 2. พลาดโอกาสการขาย : เพราะเก็บคุกกี้ไม่ได้ว่าผู้ใช้งานคนใดกำลังสนใจสินค้าของเราอยู่ ทำให้เสียโอกาสการขายทั้งที่ผู้ใช้งานที่พร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าเราทันที 3. ไม่รู้ว่าใครซื้อสินค้าไป: จากการยิงโฆษณาไปแล้วเราเก็บข้อมูลไม่ได้ว่าผู้ใช้งานคลิกแบนเนอร์ไปซื้อสินค้าต่อ ทำให้เราประมาณงบการยิงโฆษณาไม่ได้ แล้วนักโฆษณาต้องทำไรต่อไป? เราคงต้องไม่พึ่ง third party data หรือคุกกี้แล้ว แต่เก็บข้อมูลลูกค้าเอง หรือที่เราเรียกกันว่า first party data สร้างเว็บไวต์หรือแอพพลิเคชั่นเพื่อเก็บดาต้าเอง อันนี้เราอาจจะต้องใช้creativityสักหน่อย

//CJ WORX ACADEMY โรงเรียนสอนดิจิทัลแห่งแรกของไทยที่เปิดโดยดิจิทัลเอเจนซี

เพราะเราอยากให้คนไทยทั้งประเทศติดอาวุธทางดิจิทัล …CJ WORX ACADEMY โรงเรียนสอนดิจิทัลแห่งแรกของไทย จึงเปิดตัวขึ้นเพื่อยกระดับศักยภาพคนไทยให้แข่งกับตัวเอง ติดอาวุธทางปัญญา เตรียมพร้อมก่อนโดน Digital  Disruption  “มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ได้อยากเก็บความรู้ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งไว้คนเดียว ได้แชร์สิ่งนี้ให้คนอื่นที่ต้องการความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ได้เข้าใจเหมือนกันกับที่เราได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ตลอด 13 ปีที่สั่งสม จากการทำงานจริงในสมรภูมิดิจิทัลทั้งในประเทศและระดับโลก ในนาม CJ WORX” คุณชวนา กีรติยุตอมรกุล Managing Director ของ CJ WORX ผู้ก่อตั้งสถาบัน CJ WORX ACADEMY คุณชวนา อธิบายแนวคิดการเปิด CJ WORX ACADEMY ว่า  เพราะ CJ WORX เป็น Today Agency ดิจิทัลเอเจนซีของวันนี้ ที่มีเป้าหมายให้ภาพรวมของประเทศพัฒนาขึ้น เราจำเป็นต้องติดอาวุธทางปัญญาและพัฒนาศักยภาพคนไทย  ด้วยการเปิดคอร์สองค์ความรู้ด้านดิจิทัล แบ่งปันประสบการณ์ด้านการตลาดออนไลน์ที่ CJ WORX สั่งสมมาตลอดเพื่อให้คนไทยรู้เหมือนที่เรารู้ เตรียมพร้อมก่อนที่จะถูกเทคโนโลยี Disrupt “CJ WORX ACADEMY เป็นสถาบันความรู้ด้านดิจิทัลที่เปิดสอนให้กับบุคคลภายนอกทั่วไป เพื่อยกระดับความรู้ด้านดิจิทัลในไทยให้พัฒนาไปยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนในองค์กรใหญ่

//CJ WORX เผย DMP เวิร์ก! ช่วยลูกค้าโตสวนกระแสโควิด สูงถึง 140%

ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่ธุรกิจทุกแขนง ไปจนถึงปัจจัยที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด นั่นก็คือ “พฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค” ที่ระลอกนี้ไม่ได้ค่อยๆ เปลี่ยนผันไปตามยุคสมัย แต่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายในไม่กี่วัน และจะไม่ใช่แค่สิ่งที่ผ่านพัดแบบเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เพราะการเกิด “พฤติกรรมใหม่” ไม่ว่าจะครั้งไหน ก็จะฝังรากลึกลงไปในชีวิตประจำวันของผู้คน จนกลายเป็น “ความปกติใหม่” หรือที่เราเรียกกันว่า “New Normal” เมื่อทุกอย่างกลายเป็น New Normal หลายสิ่งที่เตรียมจะลอนช์ใหม่ก็ต้องชะลอไว้ เพราะกลายเป็นการสื่อสารแบบเก่าชั่วข้ามวัน หลายธุรกิจจึงเลือกที่จะหยุดแคมเปญทั้งหมดชั่วคราว บ้างก็ลดงบการสื่อสารการตลาดที่มีอยู่ลง ทุกอย่างหยุดนิ่งจนไปถึงขั้นติดลบ และเสี่ยงต่อการถูกดิสรัปต์โดย “New Normal” ไปโดยปริยาย ในขณะเดียวกัน CJ WORX ดิจิทัลเอเจนซี่สัญชาติไทย ที่โดดเด่นในเรื่อง Creativity และ Data Driven Performance ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้ในสถานการณ์วิกฤติ ธุรกิจก็สามารถทะยานเติบโตได้มากถึง 140% โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการโปรโมตใดๆ เพียงต้องจัดลำดับความสำคัญของการสื่อสารใหม่ ให้สอดคล้องกับ New Normal ของผู้บริโภค และกุญแจสำคัญที่ส่งให้ CJ WORXพาลูกค้าไขผ่านวิกฤตินี้ไปได้ก็คือ “DMP” นั่นเอง 3 New Normal หลัง COVID-19 DMP ตอบโจทย์ตรงจุดได้อย่างไร 1. เข้าสู่ยุค ทุกอย่าง “ออนไลน์เต็มรูปแบบ” อย่างที่ทราบกันว่า การเกิด COVID-19

//ทำความรู้จัก ‘RELAY42’ พันธมิตรใหม่ล่าสุดของ ‘CJ WORX’ ที่พร้อมผลักดันเรื่อง DMP สู่การทำงานจริง! [Exclusive Interview]

เมื่อโลกของการทำการตลาดเปลี่ยนแปลงไป เครื่องมืออย่าง DMP หรือ ‘Data Management Platform’ จึงกลายเป็นเครื่องมือที่นักการตลาดยุคใหม่เริ่มหันมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้ CJ WORX หนึ่งในดิจิทัลเอเจนซีชั้นนำของไทยที่หากใครติดตามข่าวสารของเอเจนซีนี้จะเห็นเลยว่า เป็นเอเจนซีที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆ ก้าวนำใครๆ อยู่เสมอ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของ DMP เช่นกัน โดยร่วมพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการกับ RELAY42 DMP สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่ประมวลผล DATA ทุกชนิดแบบ REAL-TIME! พอได้ข่าวแบบนี้ วันนี้ Ad Addict จึงขอไม่รอช้า ขอเข้าไปพูดคุยสุด Exclusive เจ้าแรกกับทางคุณ JAN WILLEM VAN WALSUM ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ RELAY42 กันสักหน่อย ว่าทางคุณยานเอง มีความคิดเห็นและมุมมองต่อตลาดโฆษณาในไทย พร้อมคำแนะนำเบื้องต้นกันสักหน่อย เดี๋ยวผมจะสรุปแต่ละประเด็นที่คุณยานได้มาแบ่งปันให้เพื่อนๆ เข้าใจง่ายๆ ทีละประเด็นกันตามเนื้อหาด้านล่างได้เลยฮะ รับรองมีประโยชน์ชัวร์! มาเริ่มกันเลย (1) มุมมองที่มีต่อตลาดโฆษณาในไทย จากที่คุณยานได้มีประสบการณ์การร่วมงานกับแบรนด์ในเมืองไทยหลายๆ เจ้า ทำให้พบเห็นสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างของนักการตลาดและนักโฆษณาในไทย โดยหลักๆ แล้ว คุณยานมองว่า โฆษณาไทย ถือว่ามีการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ดีมากๆ เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ เห็นได้จากผลงานโฆษณาต่างๆ ที่ออกมา และทำให้คนทั่วโลกได้รับชมและชื่นชมกันไปตามๆ กัน แต่ถึงแม้ว่าคนไทยจะมีความสามารถในการเล่าเรื่องและนำเสนอไอเดียครีเอทีฟได้ดีปานใด แบรนด์ส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องของการซื้อมีเดียในลักษณะของการหว่าน เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนให้มากที่สุด

//เปิดมุมมอง ‘สหรัฐ-จิณณ์’ แห่ง CJ Worx : ทำไมผู้บริโภคจำเป็นต้องเปิดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลบ้าง?

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดูจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ผ่านแพล็ตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องนี้ค่อนข้างสูงมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตปัจจุบันหลีกเลี่ยงแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ไม่ได้ และก็จำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลบางส่วนไปด้วย จึงเกิดการถกเถียงว่า การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทไอทีต่างๆ นั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ล่าสุด ยังนำมาซึ่งความขัดแย้งเป็นดราม่าร้อนระดับโลก ระหว่าง Apple และ Facebook ซึ่งเกิดขึ้นจากระบบปฏิบัติการ iOS14 ของ Apple ซึ่งเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว หรือ Privacy ของผู้ใช้ iPhone และ iPad ให้เลือกตั้งค่าเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโฆษณาบนสมาร์ทโฟนที่จะถูกส่งไปยังดีไวซ์ต่างๆ โดยนักโฆษณาและผู้ที่ทำ Targeted Ads จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เต็มๆ เมื่อกรณีนี้มีผลกับนักการตลาดและนักโฆษณาเราจึงอยากนำเสนออีกมุมมองความเห็นเกี่ยวกับประเด็นร้อนนี้ ว่าจริงๆ แล้วผลจากการปิดกั้นข้อมูลส่วนบุคคลทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียต่อตัวผู้บรโภคกันแน่ โดยผู้ที่คร่ำหวดในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและแอดเวอร์ไทซิ่งแถวหน้าของเมืองไทย คุณสหรัฐ สวัสดิ์อธิคม Creative Chairman and Founder และ คุณจิณณ์ เผ่าประไพ Chairman and