Author: waan

//Case Study: Big Bike Loan Business

แบรนด์เป็นเจ้าแรกในการปล่อยสินเชื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ Big Bike และต้องการเป็นเจ้าตลาดในการกู้ซื้อรถมอเตอไซค์ด้วย เพราะจะนั้นสิ่งที่แบรนด์ต้องการคือ ดาต้าของคนที่อยากได้มอเตอไซค์ Big Bike และ lead คนที่จะซื้อจริงๆ สิ่งที่ทีม Data & Business Consult แนะนำคือ Data 360 เพื่อเก็บดาต้าจากทุก touchpoint ของลูกค้าที่น่าจะสนใจกู้ซื้อบิ๊กไบค์ Hub Big Bike เพื่อเก็บดาต้า จึงได้มีการทำเว็บไซต์  เพื่อรวบรวมบิ๊กไบค์ทุกรุ่น บอกตารางการผ่อน และสามารถเปรียบเทียบมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์แต่ละรุ่นได้เลย การมีเว็บไซค์นี้เพื่อเก็บดาต้าของคนที่จะหาข้อมูลซื้อรถ เก็บทุกการคลิกของลูกค้าที่สนใจทั้งหมด นอกเหนือจากดาต้าที่เก็บเองแล้ว ยังทำ Data Partner นอกจากจะมีเว็บของตัวเองเพื่อเก็บ first data party แล้ว ยังมีการไปเป็น partner กับเว็บมอเตอไซค์อื่นๆ ด้วยการต่อ API เพื่อเก็บ second party data  ของผู้ที่สนใจซื้อมอเตอร์ไซค์ที่ยังไม่รู้จักแบรนด์  แต่จะไม่ได้เก็บทุกคนที่เข้าเว็บ เราจะเก็บดาต้าของคนที่มีความน่าจะเป็นในการซื้อมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาดูเฉยๆ ซึ่งจะสามารถคัดกรองได้จากคนที่หยุดดูหน้าตารางผ่อน วิธีการนี้ จะทำให้แบรนด์ได้ lead ที่มีประสิทธิภาพ และเป็นคนที่มีเปอร์เซ็นจะมากู้ซื้อบิ๊กไบค์ได้ เก็บดาต้าจาก Cross Platform กับธุรกิจในเครือเดียวกับแบรนด์ เนื่องจากแบรนด์เป็นธนาคารอยู่แล้วจึงใช้ดาต้าจาก prompt start ด้วย (เว็บไซต์ตรวจสอบวงเงินกู้ก่อนออกรถ) ลูกค้าที่ต้องการซื้อมอเตอไซค์จะสามารถคำนวณได้ว่า จากเงินที่มี จะได้วงเงินกู้เท่าไหร่ และในงบประมาณเท่านี้ จะสามารถผ่อนรถอะไรได้บ้าง ลูกค้ากลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่น่าจะกู้ซื้อบิ๊กไบค์ด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์ จากการเก็บ Data 360 ทำให้ lead ที่เก็บได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น   - cost per

//4 ชนิดของ Consumer Data

1 Personal Data ดาต้าส่วนตัวที่ระบุตัวตนได้  - ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขประกันสังคม - ข้อมูลทางกายภาพ เช่น สีผม เชื้อชาติและส่วนสูง - ประวัติการศึกษาและการทำงาน เช่น ระดับเกรดเฉลี่ย ระดับเงินเดือน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี - ข้อมูลทางการแพทย์ และพันธุกรรม - ประวัติการโทร หรือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมายที่สามารถระบุตัวตนได้ 2 Engagement Data ดาต้าของผู้ใช้งานที่มาเกี่ยวข้องกับแบรนด์ - การเข้าชมและคลิกบนเว็บไซต์, แอพพลิเคชั่น, - อีเมล์ และ  email subscription - สื่อโฆษณา 3 Behavioral Data ดาต้าพฤติกรรมการใช้สินค้าและบริการ - ข้อมูลการใช้จ่าย เช่นประวัติการซื้อ - ประวัติการใช้สินค้าหรือบริการ - ข้อมูลการซื้อสินค้าซ้ำ 4. Attitudinal Data ดาต้าความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ - ลูกค้ามีความพอใจสินค้าและบริการมากแค่ไหน - ความต้องการสินค้าและบรการของแบรนด์มีมากแค่ไหน Source: businessnewsdaily

//SME ต้องมีระบบ Data ไหม?

ทุกธุรกิจควรเป็นดาต้าเป็นของตัวเอง และดาต้าก็คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในบริษัท 1 ทำให้เข้าใจลูกค้า  - สิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จคือการเข้าใจลูกค้าและตลาดที่คุณอยู่ ยิ่งคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กยิ่งมีงบในการยิงโฆษณาน้อย การมีดาต้าแล้วยิงให้ตรงทาเก็ตจะทำให้เร่งยอดขายได้ 2 ราคาต่อหัวของลูกค้าถูกลง (Cost per Client) คุณกำลังคุยกับลูกค้าถูกคนหรือไม่ ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายค่ายิงโฆษณาไปควรจะกลายเป็นยอดขายได้ทั้งหมด การที่เรายิงโฆษณาหาลูกค้าที่ถูกคน (คนที่ต้องการสินค้าอยู่แล้ว หรือมีโอกาสอยากได้สินค้า) ก็จะทำให้ cost per lead ถูกลง ไม่ต้องเสียเวลาไปคุยกับคนมากมายที่ไม่เคยสนใจสินค้าของคุณเลย และการใช้ Data มาวิเคราะห์จะทำให้คุณรู้ว่าจะต้องใช้เงินกี่บาท เพื่อทำให้ลูกค้าแต่ละรายมาซื้อสินค้า หลังจากนั้นคุณสามารถทำการ optimize เพื่อให้ cost ถูกลงได้อีก 3 รู้ความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงของปี สินค้าบางชนิดก็ขายดีมากในบางเดือน สินค้าบางอย่างก็มีความต้องการมากในบางฤดู การเก็บดาต้าผู้ใช้งานมา ทำให้เรราเอามาวิเคราะห์เพื่อหาความต้องการนั้นๆได้  หรืออาจจะวิเคราะห์ควบคู่กับ search trend, search keywords เพื่อให้ผลลัพธ์แม่นยำยิ่งขึ้น บริษัท SME ที่มีทุนน้อยและโกดังขนาดเล็กที่ไม่สามารถสต็อคสินค้าทีละมากๆได้ ก็สามารถวางแผนการนำเข้าหรือผลิตสินค้าได้แม่นยำมากขึ้น การใช้ดาต้าทำให้คุณปรับปรุงสินค้าและบริการได้ทันท่วงที ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือการยิงโฆษณาที่ไม่เกิดรายได้ทิ้งไป และยังทำให้การสื่อวารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

//ขอ Consent ยังไงให้ถูกกฎหมาย GDPR

เมื่อมีการบังคับใช้กฏหมาย GDPR ออกมา ธุรกิจ, แบรนด์หรือเอเจนซี่ที่ใช้ประโยชน์จากดาต้าผู้ใช้งาน จะต้องระวังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเก็บดาต้ามาอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะผิดกฏหมายเป็นคดีไปถึงการขึ้นโรงขึ้นศาลและทำให้โดนปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาลได้ คุณอาจจะเคยต้องกดยินยอมให้ข้อมูลการใช้งานกับเว็บไซต์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขที่เขียนมาส่วนใหญ่จะค่อนข้างคลุมเครือและไม่ชัดเจน เขียนทุกอย่างรวมๆกันทั้งนโยบายบริษัท นโยบายการร่วมกิจกรรม กติกาอื่นๆ รวมกันในข้อเดียวทั้งหมดเพื่อให้ผู้ใช้งานสับสน แต่ตอนนี้กฏหมาย GDPR ทำให้การขอ consent รัดกุมเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้ผู้ใช้งานมากกว่าเดิม การขอ consent ที่ถูกต้องทำอย่างไร? - ต้องเขียนเงื่อนไขอย่างชัดเจนและละเอียด ว่าจะนำดาต้าผู้ใช้งานไปใช้ทำอะไรบ้าง ไม่สามารถเขียนแบบรวบรัด คลุมเครือได้อีกแล้ว - ถ้ามีเงื่อนไขอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการขอ consent ต้องเขียนแยกอย่างชัดเจน - กล่องเครื่องหมายยินยอมให้consent ต้องไม่มีการติ๊กไว้ก่อน ผู้ใช้งานต้องเป็นผู้กดเลือกด้วยตนเอง ถ้าบริษัทของคุณเคยเก็บดาต้ามาก่อนกฏหมาย GDPR จะบังคับใช้ และไม่มั่นใจว่าดาต้าชุดนั้นถูกกฏหมายหรือไม่ สามารถรับคำปรึกษาเบื้องต้นได้ที่info@springboardgun.com

//ทำไม Data จึงสำคัญมากในธุรกิจ?

ดาต้าทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจดีขั้น บริษัทไหนก็มีดาต้าเป็นของตัวเองได้ เพียงแค่มีเว็บไซต์,แอพพลิเคชั่น หรือมีระบบpayment ก็สามารถเก็บดาต้าลูกค้าได้แล้ว เช่น ข้อมูลบุคคลต่างๆ, พฤติกรรมการซื้อ, พฤติกรรมผู้ใช้, การเข้ามาใช้งานเว็บ อ่านคอนเท้นท์อะไรไปบ้าง ทุกๆดาต้าที่เก็บมาได้ ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น อยู่ที่เราจะเอามาใช้เป็นหรือไม่ มีหลายปัจจัยมากที่เราจะเอามาวิเคราะห์การดำเนินธุรกิจ ทั้งเรื่องภายในตัวองค์กรเอง ข่าวสารโลก แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์เท่าดาต้าที่คุณเก็บมาจากลูกค้าโดยตรงของคุณเองหรอก หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกใช้ดาต้าทำอะไรบ้าง? - หากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ - เพิ่มจำนวนการกลับมาซื้อซ้ำ - ปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้น - คาดการณ์เทรนด์สินค้าและจำนวนการซื้อ และดาต้ายังทำให้รู้อีกว่าการลงเงินที่จุดไหนของธุรกิจถึงจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เช่นการยิงโฆษณาไปที่ลูกค้ากลุ่มนี้ทำให้เกิดการซื้อสินค้าทันที ในขณะที่ลูกค้าอีกกลุ่มต้องเห็นโฆษณาถึง3ครั้งจึงจะซื้อสินค้า ดาต้าจึงเป็นส่วนสำคัญทางการเงินของแบรนด์ด้วย Source: grow.com

//ถ้าไม่มี Data ก็ไม่ว่าลูกค้าคือใคร

ดาต้าทำให้คุณเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ถ้าไม่เก็บดาต้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าของเราเป็นใคร ถ้าไม่เก็บดาต้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าชอบสินค้าของแบรนด์หรือไม่ กลับมาซื้อซ้ำไหม ถ้าไม่เก็บดาต้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินก้อนไหนในการลงโฆษณาได้ผลดีที่สุด เพราะ first party data ทำให้คุณจัดแยกกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและละเอียดมากขึ้น จะไม่ใช่แค่ demograhpic กว้างๆ ที่เป็นแค่อายุ เพศ การศึกษา แต่คุณจะรู้ลึกว่าเค้าชอบสินค้าอะไร ซื้อสินค้าอะไร เข้ามาดูสินค้าอะไรในเว็บของคุณ และคุณควรเสนอขายสินค้าอะไรให้ หรืออาจจะทำให้คุณรู้จักกลุ่มลูกค้าใหม่ๆที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ดาต้าจึงสำคัญมาก ในการทำความเข้าใจลูกค้าและแผนการตลาดของคุณ ถ้าคุณไม่เริ่มเก็บดาต้าหรือเริ่มใช้งานจริงๆในวันนี้ คุณอาจจะเป็นธุรกิจที่ล้าหลัง โชคดีที่สมัยนี้ มีระบบและเครื่องมือมากมายที่จะช่วยให้คุณบริหารจัดการดาต้าที่มีในมือได้ง่ายขึ้น และถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง สามารถรับคำปรึกษาเบื้องต้นฟรีได้ที่ info@springboardgun.com

//CASE STUDY: JAPANESE CAR BRAND

ใช้ BIG DATA ทำให้ ALWAYS ON คอนเท้นท์มีประสิทธิภาพมากขึ้น รถยนต์จะมีคนลงทะเบียน test drive สูงในช่วงที่จัดแคมเปญการตลาด แต่เมื่อแคมเปญจบคนที่มาลงทะเบียนก็หายไปด้วย ความท้าทายของโจทย์แบรนด์ในครั้งนี้ก็คือ เราจะทำยังไงให้มีคนสนใจรถยนต์ของแบรนด์ และมีการลงทะเบียน test drive สม่ำเสมอ ไม่ต้องรอเฉพาะช่วงที่มีจัดแคมเปญพิเศษเท่านั้น ซึ่งทางแบรนด์เอง ก็มีการเก็บดาต้าลูกค้าในจุดต่างๆอยู่แล้ว เช่นเก็บเมื่อเข้าชมเว็บ หรือเมื่อไปทำการ test drive จริง แต่ไม่เคยเอาดาต้าทุกอย่างมารวมกันให้เป็นก้อนเดียว หมายความว่าดาต้ากระจัดกระจายกันหมด ไม่เคยรู้ว่า คนที่มาลงทะเบียนไป test drive จริงหรือไม่  หรือเมื่อไป test drive แล้วซื้อรถจริงมั้ย โดยเราจะใช้ Big Data เข้ามาเป็น Solution ในการแก้ปัญหาโจทย์นี้  ที่รวมดาต้าจากทุก consumer touchpoint ของฮอนด้าเพื่อสร้าง journey ของผู้ใช้งานที่เคยมาทิ้งข้อมูลไว้แล้ว และเพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆด้วย สำหรับลูกค้าที่เคยทิ้งข้อมูลไว้แล้ว เราก็จะเก็บดาต้าได้ว่าเค้าสนใจรถรุ่นไหน เพื่อยิงpersonalized message ad ออกไป หรือคนที่เคยไป test drive แล้วยังไม่ซื้อรถเพราะอะไร เราก็จะมี personalized message ad เพื่อยิงข้อความที่ trigger ให้เค้ากลับมาซื้อรถของแบรนด์ด้วย สำหรับการยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ กลยุทธ์คือปล่อยโฆษณาออกไปก่อน เพื่อเก็บดาต้าว่าแต่ละผู้ใช้สนใจคอนเท้นท์แบบไหน และแสดงแต่คอนเท้นท์ที่เค้าสนใจ เพื่อให้การสื่อสารได้ผลมากยิ่งขึ้น Data Partnership ก็สำคัญ การจะขยายกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ ยังมีการไปหา data source ใหม่ๆอีกด้วย หรือดาต้ากลุ่มที่เราเรียกว่า second party data โดยการไปเป็น partner กับเว็บข่าว หรือบล็อคที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่แสดงผลการค้นหาบนหน้าแรกของ Google ทั้งหมด เราก็จะได้ดาต้าของผู้ใช้งานที่สนใจซื้อรถยนต์ในเว็บไซต์นั้นๆด้วย ผลลัพธ์ หลังจากการทำ Data

//GDPR คืออะไร?

GDPR ย่อมาจาก General Data Protection Regulation เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายนี้มีผลบังคับต่อทุกธุรกิจในโลกสำหรับพลเมืองยุโรปและยังมีผลบังคับใช้กับประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทของประเทศยุโรปเท่านั้น และยังมีผลบังคับใช้กับบริษัทขนาดเล็กหรือ SME (มีพนักงานน้อยกว่า 250 คน)  ด้วย   ความสำคัญของกฎหมายGDPR คือการขอรับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลในการที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ถ้าหากจะทำการใด ๆ กับเจ้าของข้อมูล จะต้องได้รับการอนุญาตก่อน โดยข้อมูลที่ถูกเก็บไปนั้น สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีทางรั่วไหลแน่นอน ซึ่งแปลว่าทุกการเก็บข้อมูลจะต้องได้รับ ‘consent’ จากผู้ใช้งานก่อน โดยมีเงื่อนไขชัดเจนว่าจะนำข้อมูลไปใช้อะไรบ้าง ข้อมูลส่วนบุคคลที่ว่าคืออะไรบ้าง? GDPR ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดาที่ระบุตัวตนได้ เช่น - ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขประกันสังคม - ข้อมูลทางกายภาพ เช่น สีผม เชื้อชาติและส่วนสูง - ประวัติการศึกษาและการทำงาน เช่น ระดับเกรดเฉลี่ย ระดับเงินเดือน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี - ข้อมูลทางการแพทย์ และพันธุกรรม - ประวัติการโทร หรือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมายที่สามารถระบุตัวตนได้ บทลงโทษGDPR บทลงโทษGDPR นั้นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เช่น การเสียค่าปรับที่มีจำนวนเงินสูงถึง 20 ล้านยูโร หรือคิดเป็น4%ของมูลค่ารายได้ทั่วโลกจากบริษัทคุณ แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะสูงกว่า เพราะฉะนั้นถ้าแบรนด์ใดอยากเริ่มเก็บดาต้าผู้ใช้งานเป็นของตัวเอง หรือเคยเก็บดาต้าแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าเก็บมาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ เอามาใช้งานอย่างไร เราแนะนำให้ปรึกษาเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดาต้า เพื่อจะทำให้แบรนด์มั่นใจได้ว่าเป็นการใช้ดาต้าอย่างถูกกฏหมายอย่างแน่นอน ติดต่อรับคำแนะนำฟรีเบื้องต้น info@springboardgun.com Reference: OMATOMELOANHIKAKU

//เมื่อรู้ว่าตอนนี้เป็นยุค Cookieless แล้ว คุณต้องทำอะไรต่อไป

EDUCATE -  คนในองค์กร ว่าตอนนี้โลกโฆษณาดิจิตอลเปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว และจะเกิดผลกระทบอะไรได้บ้าง การยิงโฆษณาจะไม่ได้ผลเหมือนเคยยอดขายอาจตกลงงบโฆษณาสูงขึ้น COLLECT -  เริ่มเก็บ first-party data ทันที เพราะถ้าคุณไม่มีดาต้าของตัวเอง แล้วthird party data ก็ไม่มีให้ใช้ ธุรกิจของคุณจะทำอย่างไง SEGMENT -  กลุ่มลูกค้า  แบ่งกลุ่มลูกค้าจากดาต้าที่คุณมี เพราะถ้าคุณไม่แยก การยิงโฆษณา retarget ของคุณก็จะไม่สามารถ personalizeได้ และจะมีแต่โฆษณาซ้ำเดิม ไม่ตรงใจความต้องการของลูกค้าแต่ละคน EVALUATE - ดาต้าที่คุณมี ถ้าบริษัทคุณมีดาต้าอยู่แล้วลองประเมินดูว่าเป็นดาต้าที่มีคุณภาพ และสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่  Source: seerinteractive.com

//ทำไมเราต้องทำ AD OPTIMIZATION บ่อยๆ?

การทำ ad optimization ไม่ได้แปลว่าเอเจอซี่ซื้อ ad ไม่ดี หรือมีความผิดพลาด คำว่า optimization มีความหมายว่าทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้ได้ผลดีที่สุด และการที่เอเจนซี่มีการ optimize ระหว่างแคมเปญ ก็จะทำให้แคมเปญลูกค้าได้ผลลัพธ์ดีที่สุดด้วย การทำ Ad Optimization ไม่มีกฎตายตัว มันคือการลอง ขั้นตอนแรกคือ ‘testing phase’  ปล่อยโฆษณาออกไปลองก่อน ว่าโฆษณาชิ้นใด หรือ placement ไหนได้ผลดีที่สุด ขั้นที่สอง เราจึงทำ ad optimization ได้ เช่นการย้ายงบจากโฆษณาได้ performance ไม่ดี มาซื้อโฆษณาที่ performดีเพิ่ม, หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนรูปภาพหรือข้อความบนโฆษณาเพื่อดึงดูดเพิ่มขึ้นก็ได้ การทำ Ad Optimization ทำอะไรได้บ้าง เราจะต้องหาทางยิงแอดให้ถูกที่สุด หรือได้ cost per ต่ำที่สุด ที่จะทำให้ลูกค้าประหยัดเงิน และส่งแมสเสจที่ต้องการโฆษณาไปถึงผู้บริโภคได้ การทำ optimization อาจจะดูง่าย แต่จริงๆแล้ว ต้องมีการวางstrategy และวิเคราะห์ก่อน การใช้เอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องดิจิตอลมีเดียก็จะช่วยได้มาก เพราะการ optimize ต้องดูจากหลายปัจจัยด้วย เช่น 1 Click – โฆษณาที่ถูกคลิกเยอะ เทียบในเวลาเดียวกัน ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น 2 Conversion – โฆษณาที่มีconversion เทียบในเวลาเดียวกัน ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น 3 CTR – โฆษณาที่ถูก click through เยอะ ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น 4 Sites – ที่มี cost per click สูง แต่ไม่มีconversionเลย ก็ควรจะบล็อก 5 Budget – งบโฆษณาของแต่ละ publisher ต้องเปลี่ยนแปลงตาม performance ด้วย เช่นย้ายงบจากเพจที่ทำ performance แย่