ทำไมเราต้องทำ AD OPTIMIZATION บ่อยๆ

การทำ ad optimization ไม่ได้แปลว่าเอเจอซี่ซื้อ ad ไม่ดี หรือมีความผิดพลาด


คำว่า optimization มีความหมายว่าทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้ได้ผลดีที่สุด และการที่เอเจนซี่มีการ optimize ระหว่างแคมเปญ ก็จะทำให้แคมเปญลูกค้าได้ผลลัพธ์ดีที่สุดด้วย


การทำ Ad Optimization ไม่มีกฎตายตัว มันคือการลอง


ขั้นตอนแรกคือ ‘testing phase’  ปล่อยโฆษณาออกไปลองก่อน ว่าโฆษณาชิ้นใด หรือ placement ไหนได้ผลดีที่สุด


ขั้นที่สอง เราจึงทำ ad optimization ได้ เช่นการย้ายงบจากโฆษณาได้ performance ไม่ดี มาซื้อโฆษณาที่ performดีเพิ่ม, หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนรูปภาพหรือข้อความบนโฆษณาเพื่อดึงดูดเพิ่มขึ้นก็ได้


การทำ Ad Optimization ทำอะไรได้บ้าง

เราจะต้องหาทางยิงแอดให้ถูกที่สุด หรือได้ cost per ต่ำที่สุด ที่จะทำให้ลูกค้าประหยัดเงิน และส่งเมสเสจที่ต้องการโฆษณาไปถึงผู้บริโภคได้

การทำ optimization อาจจะดูง่าย แต่จริงๆแล้ว ต้องมีการวางstrategy และวิเคราะห์ก่อน การใช้เอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องดิจิตอลมีเดียก็จะช่วยได้มาก เพราะการ optimize ต้องดูจากหลายปัจจัยด้วย เช่น


1 Click – โฆษณาที่ถูกคลิกเยอะ เทียบในเวลาเดียวกัน ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น


2 Conversion – โฆษณาที่มีconversion เทียบในเวลาเดียวกัน ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น


3 CTR – โฆษณาที่ถูก click through เยอะ ก็จะถูกแสดงถี่ขึ้น


4 Sites – ที่มี cost per click สูง แต่ไม่มีconversionเลย ก็ควรจะบล็อก


5 Budget – งบโฆษณาของแต่ละ publisher ต้องเปลี่ยนแปลงตาม performance ด้วย เช่นย้ายงบจากเพจที่ทำ performance แย่ มาใส่เงินเพจที่มี engagement ดีๆแทน

การทำ Ad Optimization ไม่มีกฎตายตัว มันคือการลอง


ขั้นตอนแรกคือ ‘testing phase’  ปล่อยโฆษณาออกไปลองก่อน ว่าโฆษณาชิ้นใด หรือ placement ไหนได้ผลดีที่สุด


ขั้นที่สอง เราจึงทำ ‘ad optimization’ ได้ เช่นการย้ายงบจากโฆษณาได้ performance ไม่ดี มาซื้อโฆษณาที่ performดีเพิ่ม, หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนรูปภาพหรือข้อความบนโฆษณาเพื่อดึงดูดเพิ่มขึ้นก็ได้


Source: knowonlineadvertising.com